Flow Cytometry

Flowcytometry

เป็นเทคนิคในการวัดลักษณะที่หลากหลายของเซลล์แต่ละเซลล์ โดยใช้หลักการวัดความ ยาวคลื่นแสงที่เซลล์ปล่อยและกระจายออกมาหลังจากได้รับแสงกระตุ้นจากภายนอก การพัฒนาร่วมกันกับเทคโนโลยีด้าน monoclonal antibody และความหลายหลายของสี fluorescence เทคนิคนี้ ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันและได้กลายมาเป็นเครื่องมือสําคัญทางการแพทย์ในสาขาวิชาโลหิตวิทยา และวิทยาภูมิคุ้มกัน อีกทั้งยังถูกนำมาใช้ทางคลินิกเพื่อช่วยในการวินิจฉัยและติดตามการรักษาอย่างกว้างขวาง เช่น การวินิจฉัยมะเร็งเม็ดเลือดขาวและการตอบสนองต่อยาเคมีบำบัด การติดตามการรักษาในผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี เป็นต้น

เรานำหลักการนี้มาใช้ในงานตรวจวิเคราะห์อะไรได้บ้าง ???>>>>>

การตรวจ มะเร็งเม็ดเลือดขาว

โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือลูคีเมีย (Leukemia) เป็นโรคมะเร็งที่เกิดขึ้นในไขกระดูก เกิดจากมีเซลล์เม็ดเลือดขาวตัวอ่อนเติบโตมากผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ การแบ่งตัวอย่างไม่หยุดของเซลล์เหล่านี้ ได้ไปรบกวนการสร้างเม็ดเลือดปกติชนิดอื่นของไขกระดูก ทำให้เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวปกติ และเกล็ดเลือดลดลง ส่งผลให้ผู้ป่วยมีภาวะโลหิตจาง มีเลือดออกผิดปกติ มีจ้ำเลือดตามร่างกาย ติดเชื้อง่าย นอกจากนี้เซลล์มะเร็งยังสามารถไปสะสมตามอวัยวะอื่นๆ เช่น ตับ ม้าม ต่อมน้ำเหลือง ทำให้ผู้ป่วยมีต่อมน้ำเหลือง ตับ ม้ามโต การตรวจพบมะเร็งในระยะเริ่มแรกจะทำให้มีการตอบสนองต่อการรักษาและมีโอกาสหายมากกว่าระยะลุกลามหรือระยะสุดท้าย  โดยส่วนใหญ่มักพบว่ากว่าผู้ป่วยจะรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง อาการอยูในระยะลุกลามไปมากแล้ว คงจะดีไม่น้อยหากเราหมั่นสังเกตความผิดปกติในร่างกาย และตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อค้นหาความผิดปกติของร่างกาย ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้โดยที่เราไม่รู้ตัว โดยเฉพาะโรคมะเร็งยิ่งพบโรคได้ เร็วเพียงใด ชีวิตก็ปลอดภัยมากขึ้นเพียงนั้น

มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphoma) คือโรคที่เกิดจากการที่มีเนื้อร้ายเกิดขึ้นที่ต่อมน้ำเหลืองหรือโครงสร้างของต่อมน้ำเหลือง โดยระบบน้ำเหลืองเองก็เป็นระบบหนึ่งของภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ประกอบไปด้วย อวัยวะที่มีต่อมน้ำเหลือง ได้แก่ ม้าม และไขกระดูก ซึ่งภายในอวัยวะเหล่านี้จะเต็มไปด้วยน้ำเหลืองมีหน้าที่ลำเลียงสารอาหารและเซลล์เม็ดเลือดขาวไปทั่วร่างกาย และเมื่อเซลล์เม็ดเลือดขาวเหล่านี้เกิดความผิดปกติจึงทำให้เกิดเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เพราะต่อมน้ำเหลืองนั้นมีอยู่ทั่วร่างกายไม่ว่าจะเป็น คอ รักแร้ ข้อพับแขน ข้อพับขา ช่องอกหรือช่องท้อง และนอกจากนี้เซลล์น้ำเหลืองเองก็ยังมีอยู่ตามอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายด้วย ไม่ว่าจะเป็นลำไส้ หรือกระเพาะจึงทำให้มะเร็งต่อมน้ำเหลืองสามารถเกิดขึ้นได้หมดทุกที่


การตรวจ CD4

ค่าซีดีโฟร์ CD4 ที่หลายคนเข้าใจผิดว่า ต้องเกี่ยวข้องแต่เฉพาะผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีเท่านั้น แท้จริงนั้นค่า CD4 (ซีดีโฟร์) ถือเป็นค่าเม็ดเลือดขาวหรือภูมิต้านทานที่มีอยู่ในร่างกายของคนเราทุกคน ทั้งคนทั่วไปที่ไม่มีเชื้อเอชไอวีอยู่ ก็สามารถตรวจค่าได้ CD4 ย่อมาจากคำว่า Cluster of Differentiation 4 หมายถึง เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง ที่ควบคุมและต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ ที่เข้าสู่ร่างกายไม่ว่าทางใดก็ตาม โดยหน้าที่ที่สำคัญเป็นอย่าง มากก็คือช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกัน ต้านทานและกำจัดเชื้อโรคต่างๆ ได้ โดยเฉพาะพวกเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัสอื่นๆ

ค่า CD4 ถูกเข้าใจผิด

ว่าเป็นค่าเฉพาะเจาะจงสำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวีเท่านั้น นั่นอาจมีสาเหตุมากจากการวัดระดับค่าของ CD4 เป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญของการตรวจเพื่อการรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวี ก็เลยทำให้หลายคนเข้าใจว่า CD4 เป็นเรื่องของผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวีเพียงเท่านั้น เนื่องจากเชื้อเอชไอวีจะทำลายภูมิต้านทานของผู้ที่ติดเชื้อ จึงจำเป็นต้องดำเนินการประเมินภูมิต้านทานของตัวเองด้วยการตรวจปริมาณเม็ดเลือดขาว ที่เรียกว่า CD4 เพื่อดูระดับภูมิต้านทานของร่างกาย ซึ่งระดับ CD4 ของผู้ป่วย จะเป็นข้อมูลที่สำคัญสำหรับการวางแผนการรักษาต่อไป

ในขั้นตอนการตรวจเพื่อหาระดับปริมาณของ CD4 จะใช้วิธีการตรวจเลือดเพื่อหาเซลล์ CD4 โดยค่าที่วัดได้จะบ่งบอกสภาพภูมิคุ้มกันของร่างกาย เซลล์ CD4 ยิ่งต่ำ ภูมิคุ้มกันยิ่งบกพร่องมากเท่านั้น ซึ่งในระดับปกติค่า CD4 ของผู้ที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวี จะอยู่ระหว่าง 500–1,500 ต่อเลือด 1 ลูกบาศก์มิลลิเมตร แต่โดยตามปกติแล้วค่า CD4 ทั้งของผู้ติดเชื้อเอชไอวีและคนปกติ ก็สามารถเปลี่ยนแปลงขึ้นหรือลงได้ ตามสภาพร่างกายในขณะนั้นได้ในแต่ละวัน เช่น ในช่วงที่ไม่สบาย หรือในช่วงวันที่พักผ่อนไม่เพียงพอ เป็นต้น

CD4 ที่เท่าไหร่ ? ถึงเรียกว่าระดับน่าเป็นห่วง

ภาวะนี้ส่วนใหญ่จะเกิดกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งตรวจวัด CD4 ได้ที่ระดับน้อยกว่า 200 ซึ่งมีโอกาสเป็นโรคติดเชื้อฉวยโอกาสได้ง่าย เนื่องจากภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งรุนแรงจนอาจถึงขั้นเสียชีวิต ทั้งนี้หากผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวีได้รับยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง ค่าก็จะเพิ่มขึ้นตามลำดับและจะเริ่มคงที่อยู่ที่ระดับ 500-600 ตามแต่สภาพทางร่างกายและการดูแลตัวเองของแต่ละคน แต่ถึงอย่างไรแล้วไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยหรือผู้ที่มีร่างกายปกติ การรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการพักผ่อนที่เพียงพอก็จะช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่ดีได้